สถิติเชิงพรรณา (Descriptive Statistics)
จาก ตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าสถิติซึ่งมีตัวแปร 1 ตัวคือ score มีข้อมูลนำเข้า(Input) 10 ค่าคือ 10, 30, 30, 50, 50, 50, 50, 70, 70, 85 ใช้คำสั่ง Frequencies ซึ่งอยู่ในเมนู Descriptive Statistics ได้ผลลัพธ์ (outputs) 2 ตาราง คือตารางแจกแจงความถี่ และตารางแสดงค่าสถิติ ซึ่งเราสามารถเลือกค่าสถิติได้ตามที่ต้องการ
นอกจากความสามารถในการแสดงผลค่าสถิติต่างๆและตารางแจกแจงความถี่แล้ว
ยังสามารถแสดงแผนภูมิในรูปแบบ Histogram with Normal Curve และ Pie Chart
ได้
สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics)
One Sample T test
คำสั่งในเมนู Compare Means มีอยู่ 4 คำสั่ง ใช้ในการเปรี่ยบเทียบค่าเฉลื่ยใดๆของประชากร เช่น รายได้เฉลี่ยต่อปี คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในด้านต่างๆเป็นต้น คำสั่ง One Sample T test ใช้ทดสอบสมมติฐานกรณีประชากรกลุ่มเดียว คำสั่ง Independent Samples T test ใช้ทดสอบสมมติฐานกรณีประกร 2 กลุ่มอิสระ คำสั่ง Paired Samples T test ใช้ทดสอบสมมติฐานกรณีประชากร 2 กลุ่มที่มีความสัมพันธ์กัน หรือเรียกว่า Dependent Samples Test และคำสั่ง One Way ANOVA ใช้วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว (One-way Analysis of Variance)
คำสั่งในเมนู Compare Means มีอยู่ 4 คำสั่ง ใช้ในการเปรี่ยบเทียบค่าเฉลื่ยใดๆของประชากร เช่น รายได้เฉลี่ยต่อปี คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในด้านต่างๆเป็นต้น คำสั่ง One Sample T test ใช้ทดสอบสมมติฐานกรณีประชากรกลุ่มเดียว คำสั่ง Independent Samples T test ใช้ทดสอบสมมติฐานกรณีประกร 2 กลุ่มอิสระ คำสั่ง Paired Samples T test ใช้ทดสอบสมมติฐานกรณีประชากร 2 กลุ่มที่มีความสัมพันธ์กัน หรือเรียกว่า Dependent Samples Test และคำสั่ง One Way ANOVA ใช้วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว (One-way Analysis of Variance)
ผลลัพธ์จากตาราง เป็น
การทดสอบสมมติฐานกรณีประชากรกลุ่มเดียว (One Sample T test)
โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 30
ชุดซึ่งเป็นน้ำหนักของขนมขบเคี้ยวยี่ห้อหนึ่งว่าเท่ากับ 200
กรัมหรือไม่ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ(α) .05
โดยตั้งสมมติฐานทางสถิติไว้ดังนี้ H0: μ=200, H1: μ≠200 เมื่อดูจาก p-value ที่ช่อง Sig.(2-tailed) มีค่าเท่ากับ .01 ซึ่งน้อยกว่าค่า α หรือ .05 สรุปได้ว่ายอมรับ H1 ดังนั้นน้ำหนักเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง(203.33 กรัม) มากกว่า 200 กรัมอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 หรือผลการทดสอบ Significance นั่นเอง
Independent Samples T test
กำหนดคุณสมบัติของตัวแปรต่างๆดังนี้
ข้อมูลนำเข้า (input) จำนวน 30 ชุด ดังนี้
ผลลัพธ์จากตาราง output
จากตารางบน เป็นการทดสอบสมมติฐานกรณีประชากร 2 กลุ่มอิสระ (Independent Sample T test)
โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 ชุด
ตัวแปรต้นคือกลุ่ม(group)แบ่งเป็นนักศึกษาชาย และนักศึกษาหญิง ตัวแปรตามมี 3
ตัวคือคะแนนความพึงพอใจในผู้บรรยาย (score1)
คะแนนความพึงพอใจในเนื้อหาการบรรยาย (score2)
และคะแนนความพึงพอใจในเอกสารประกอบการบรรยาย (score3)
ต้องการทดสอบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนความพึงพอใจในแต่ละด้านของนักศึกษาชายและ
นักศึกษาหญิงแตกต่างกัน หรือไม่
การวิเคราะห์ข้อมูลเริ่มต้นจาก F ซึ่งเป็นสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับค่าความแปรปรวน (variance) โดยตั้งสมมติฐานทางสถิติไว้ดังนี้ H0 : σ12 = σ22, H1 : σ12 ≠ σ22 เมื่อดูจากค่า Sig. พบว่ามากกว่า .05 ทั้ง 3 รายการ (.09, .95 และ .56) จึงยอมรับ H0 ทั้ง 3 รายการขั้นตอนต่อไป คือการทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนคาวมพึงพอใจในด้านต่างๆ โดยตั้งสมมติฐานทางสถิติไว้ดังนี้ H0 : μ1 = μ2, H1 : μ1 ≠ μ2 เมื่อพิจารณาจากค่า Sig. ทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกค่า t ตัวบนหรือตัวล่าง ในกรณีนี้ต้องเลือกค่า t ตัวบน ซึ่ง เป็นกรณี Equal variances assumed ใช้สูตรการคำนวณค่า t แบบ Pooled Variance ทั้ง 3 รายการ (การคำนวณค่า t ตัวล่างหรือกรณี Equal variances not assumed ใช้สูตร Separated Variance)
ขั้นตอนสรุป เมื่อดูค่า Sig.(2-tailed) พบว่ามีเพียงกรณีเดียวเท่านั้นที่ Significance(ยอมรับ H1) คือคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในผู้บรรยาย (score1)ของนักศึกษาหญิง (4.35) มากกว่านักศึกษาชาย (3.85) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 (ค่า Sig.(2-tailed) หรือ p-value=.04 ซึ่งน้อยกว่า .05) สำหรับคะแนนเฉลี่ย score2 และ score3 ของทั้งนักศึกษาชายและนักศึกษาหญิง ถือว่าไม่แตกต่างกัน (ยอมรับ H0)
Pair Samples T test
กำหนดคุณสมบัติของตัวแปรต่างๆดังนี้
ข้อมูลนำเข้า (input) จำนวน 30 ชุด ดังนี้
ผลลัพธ์จากตาราง output
จากตารางบน เป็นรายงานการทดสอบสมมติฐานกรณีประชากร 2 กลุ่มที่มีความสัมพันธ์กัน (Paired
Samples T test) มีตัวแปร 2
ตัวคือคะแนนความพึงพอใจต่อผู้บรรยายในการบรรยายครั้งที่1 (score1) และคะแนนความพึงพอใจต่อผู้บรรยายในบรรยายครั้งที่2 (score2)
ต้องการทดสอบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนความพึงพอใจต่อผู้บรรยายในการบรรยายทั้ง 2
ครั้ง แตกต่างกันหรือไม่ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05
โดยตั้งสมมติฐานทางสถิติไว้ดังนี้ H0 : μ1 = μ2, H1 : μ1 ≠ μ2
การวิเคราะห์ข้อมูล
เริ่มต้นด้วยการดูค่าสหสัมพันธ์ (correlation) ซึ่งเท่ากับ .42
แสดงว่าข้อมูลมีความสัมพันธ์ในทางเดียวกันหรือทางบวกในระดับค่อนข้างตำ ค่า
Sig.=.02 แสดงว่าขอมูล 2 ชุดมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05
จากตาราง Paired Differences ค่า Sig.(2-tailed) หรือ p-value=.02 ซึ่งน้อยกว่า .05 จึงยอมรับ H1 สรุปได้ว่า คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในตัวผู้บรรยายครั้งที่2 (4.47) มากกว่าครั้งที่1 (4.13) อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05จากตัวอย่าง Output tables ของโปรแกรม PSPP ที่นำมาให้ดูจะเห็นว่าการแสดงผลใกล้เคียงกับโปรแกรม SPSS มาก แต่มีข้อด้อยคือไม่สามารถแสดงผลภาษาไทยได้ และการนำตารางไปลงในแฟ้มเอกสารอื่นๆค่อนข้างยุ่งยาก ผู้ใช้อาจต้องสร้างตารางขึ้นมาเองแล้วพิมพ์ข้อมูลลงไป หรือใช้โปรแกรม Capture หน้าจอแล้วนำไปวางไว้ในแฟ้มเอกสารก็ได้ นอกจากนั้นโปรแกรม PSPP ยังไม่มีคำสั่งสำคัญๆหลายคำสั่ง เช่น คำสั่ง Means ซึ่งใช้หาค่าสถิติพื้นฐานของกลุ่มย่อย คำสั่งที่ใช้ในการสร้างรายงาน (Reports) เช่น OLAP Cubes (OLAP ย่อมาจาก Online Analytical Processing หมายถึงเทคโนโลยีที่ใช่ข้อมูลจากคลังข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และตัดสิน ใจทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนโดยใช้เวลาระยะสั้น ระบบจะต้องทำงานได้รวดเร็ว สามารถค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่มาคำนวณได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่น) คำ สั่ง Report Summaries in Columns ฯลฯ ผู้เขียนได้ทดลองใช้และติดตามการพัฒนาและปรับปรุงโปรแกรม PSPP มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร พบว่ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงแม้จะเป็นซอฟต์แวร์ฟรีก็ตาม ถ้าหากมีการใช้โปรแกรม PSPP กันอย่างแพร่หลายนอกจากจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธ์อย่างเช่น SPSS ได้อย่างมหาศาลแล้ว ยังสามารถลดปริมาณการใช้ซอฟต์แวร์อย่างผิดกฎหมายลงอีกด้วย ซึ่งไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังถูกจับตาดูในเรื่องนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น